Catch Me If You Can (2002) จับให้ได้ ถ้านายแน่จริง

บทวิจารณ์เชิงลึก: จับให้ได้ ถ้านายแน่จริง (Catch Me if You Can)

 

“Catch Me if You Can” คือภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องจริงของ แฟรงค์ อบาเนล จูเนียร์ อาชญากรจอมลวงโลกที่สามารถปลอมตัวเป็นนักบิน แพทย์ และทนายความได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 19 ปี ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยผู้กำกับระดับตำนานอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก และนำแสดงโดยสองนักแสดงมากฝีมืออย่าง ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ และ ทอม แฮงก์ส ซึ่งทำให้กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่น่าจดจำและประสบความสำเร็จอย่างสูงในปี 2002

ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องราวของการไล่ล่า แต่ยังเป็นเรื่องราวของการตามหาตัวตน, มิตรภาพ, และความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างอาชญากรและเจ้าหน้าที่ที่มุ่งมั่นจะจับกุมเขา

 

โครงเรื่อง: ชีวิตที่ต้องวิ่งหนีจากความจริง

 

ภาพยนตร์เริ่มต้นจากการเปิดเผยชีวิตในวัยเด็กของ แฟรงค์ อบาเนล จูเนียร์ (Leonardo DiCaprio) ที่ต้องเผชิญหน้ากับการหย่าร้างของพ่อแม่ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล ด้วยความฉลาดเฉลียวและทักษะการหลอกลวงที่เหนือกว่าคนทั่วไป แฟรงค์ตัดสินใจหนีออกจากบ้านและเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการปลอมแปลงเช็คธนาคาร

จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ แฟรงค์ได้ก้าวไปสู่การเป็นอาชญากรระดับประเทศ เขาปลอมตัวเป็นนักบินของสายการบิน Pan Am, แพทย์ประจำโรงพยาบาล, หรือแม้แต่ทนายความ โดยใช้ความรู้ที่ได้จากการอ่านหนังสือและการสังเกตผู้คนรอบตัว การกระทำของแฟรงค์ทำให้เขาต้องตกเป็นเป้าหมายของ คาร์ล แฮนรัตตี้ (Tom Hanks) เจ้าหน้าที่ FBI แผนกตรวจสอบการฉ้อโกงเช็ค ผู้ซึ่งมุ่งมั่นที่จะจับกุมตัวเขาให้ได้

เรื่องราวทั้งหมดจึงเป็นการไล่ล่าที่เต็มไปด้วยไหวพริบและเกมจิตวิทยาที่เข้มข้นระหว่างคนสองคน ทั้งคู่ต่างก็ฉลาดและไม่ยอมแพ้ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างแฟรงค์กับคาร์ลก็ค่อยๆ พัฒนาไปอย่างน่าสนใจ จากคู่ปรับที่ไล่ล่ากัน กลายเป็นเหมือนพ่อลูกที่ต่างฝ่ายต่างก็ขาดหายไปในชีวิต

 

การวิเคราะห์ตัวละครและนักแสดง: การแสดงที่ทรงพลัง

 

  • Leonardo DiCaprio ในบท แฟรงค์ อบาเนล จูเนียร์: ถือเป็นผลงานการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่งของดิแคพรีโอ เขาถ่ายทอดบทบาทของแฟรงค์ได้อย่างมีเสน่ห์, มีความฉลาด, และมีความเปราะบางในจิตใจ ทำให้ตัวละครนี้ดูน่าเอาใจช่วยและน่าเห็นใจ แม้จะเป็นอาชญากรก็ตาม การแสดงของเขาทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ว่าภายใต้บุคลิกที่มั่นใจและกล้าหาญนั้น แฟรงค์เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มที่กำลังตามหาความรักและความมั่นคงในชีวิต

  • Tom Hanks ในบท คาร์ล แฮนรัตตี้: ทอม แฮงก์สก็แสดงบทบาทของเจ้าหน้าที่ FBI ได้อย่างน่าเชื่อถือและมีมิติ เขาไม่ได้เป็นแค่เจ้าหน้าที่ที่มุ่งมั่นจะจับกุมอาชญากร แต่ยังเป็นคนที่มีความเหงาและต้องการความสัมพันธ์ที่แท้จริง การแสดงของเขาทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคาร์ลกับแฟรงค์ดูมีชีวิตชีวาและลึกซึ้ง

  • Christopher Walken ในบท แฟรงค์ อบาเนล ซีเนียร์: การแสดงของ คริสโตเฟอร์ วอลเคน ในบทพ่อของแฟรงค์ก็เป็นจุดเด่นสำคัญของภาพยนตร์ เขาถ่ายทอดบทบาทของชายที่ล้มเหลวในชีวิตแต่ยังคงภูมิใจในตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม การแสดงของเขาทำให้เราเข้าใจถึงที่มาที่ไปของบุคลิกและการตัดสินใจของแฟรงค์ จูเนียร์

 

การกำกับและงานสร้าง: ความลงตัวของยุค 60s และ 70s

 

การกำกับของ สตีเวน สปีลเบิร์ก ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เขาสามารถสร้างบรรยากาศของยุค 60s และ 70s ได้อย่างสมจริงและน่าเพลิดเพลิน ด้วยการใช้โทนสีและงานภาพที่ดูย้อนยุค

  • การกำกับภาพ: การกำกับภาพโดย ยานุซ คามินสกี้ (Janusz Kamiński) มีความสวยงามและสะท้อนถึงบรรยากาศของแต่ละยุคสมัยได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นฉากในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยแสงสี หรือฉากในชนบทที่เงียบสงบ

  • เพลงประกอบ: เพลงประกอบโดย จอห์น วิลเลียมส์ (John Williams) ก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์มีชีวิตชีวา เพลงประกอบที่สนุกสนานและตื่นเต้นช่วยเสริมอารมณ์ของหนังได้อย่างลงตัว

  • บทภาพยนตร์: บทภาพยนตร์ที่เขียนโดย เจฟฟ์ นาธานสัน (Jeff Nathanson) มีความเฉียบคมและสามารถเล่าเรื่องราวที่ซับซ้อนได้อย่างเข้าใจง่าย เขาผสมผสานความตลก, ดราม่า, และความตื่นเต้นได้อย่างลงตัว

 

ข้อดีและข้อสังเกต

 

ข้อดี:

  • สร้างจากเรื่องจริงที่น่าสนใจ: พล็อตเรื่องที่น่าเหลือเชื่อแต่เกิดขึ้นจริง

  • การแสดงที่ยอดเยี่ยม: ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ และทอม แฮงก์ส แสดงได้อย่างน่าประทับใจ

  • การกำกับที่เฉียบคม: สตีเวน สปีลเบิร์ก สามารถคุมโทนของเรื่องและสร้างความบันเทิงได้อย่างดีเยี่ยม

  • บรรยากาศที่น่าจดจำ: หนังสามารถสร้างบรรยากาศของยุคสมัยได้อย่างสมจริงและมีเสน่ห์

ข้อสังเกต:

  • การดัดแปลงจากเรื่องจริง: แม้จะสร้างจากเรื่องจริง แต่ก็มีการดัดแปลงเพื่อความบันเทิง ซึ่งข้อมูลบางส่วนอาจไม่ตรงกับชีวิตจริงของแฟรงค์ อบาเนล จูเนียร์

  • ความตื่นเต้นที่อาจจะเบาไปบ้าง: สำหรับผู้ชมที่ชอบหนังไล่ล่าที่เน้นแอ็กชันที่รุนแรง อาจจะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ดูเบาไปบ้าง

 

สรุป

 

“Catch Me if You Can” คือภาพยนตร์ที่ไม่ควรพลาดสำหรับคอหนังที่ชอบเรื่องราวที่สร้างจากเรื่องจริง, การแสดงที่ทรงพลัง, และการกำกับที่ยอดเยี่ยม มันไม่ใช่แค่การไล่ล่าระหว่างเจ้าหน้าที่กับอาชญากร แต่เป็นการเดินทางที่พาเราไปสำรวจความลึกซึ้งของจิตใจมนุษย์, ความสัมพันธ์, และความหมายของการตามหาความสุขที่แท้จริง